การแต่งกายของคนไทยมีวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ ในแต่ละยุคสมัยจะมีรูปแบบการแต่งกายของตนเอง ซึ่งขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนในยุคสมัยนั้นๆ รวมทั้งสภาพแวดล้อมและสังคมก็เป็นปัจจัยสำคัญของการแต่งกายเช่นกัน
การแต่งกายสมัยทวารวดี (ราวพุทธศตวรรษที่ 11 - 16) ได้รับวัฒนธรรมอินเดียเข้ามาผสมกับวัฒนธรรมพื้นเมืองของตนเอง ผู้หญิงนิยมเกล้ามวยสูง นุ่งผ้าซิ่นจีบพื้นหรือมีลวดลาย ไม่สวมเสื้อ ห่มสไบเฉียง ไม่สวมรองเท้า ส่วนผู้ชายนิยมถักเปียหรือเกล้าผมสูง ใส่เครื่องประดับ นุ่งผ้าจีบแบบสั้นคล้ายผ้าถุงครึ่งแข้ง ไม่สวมเสื้อและรองเท้า
การแต่งกายสมัยศรีวิชัย (ราวพุทธศตวรรษที่ 13 - 18) ได้รับวัฒนธรรมจากประเทศจีนและอินเดียเป็นหลัก ผู้หญิงนิยมเกล้ามวยสูง สวมรัดเกล้า นุ่งผ้าครึ่งแข้งปลายบาน เป็นผ้าผืนเดียวบางแนบเนื้อ คาดเข็มขัด ใส่กำไลมือและเท้า ไม่สวมเสื้อ ส่วนผู้ชายนิยมเกล้ามวยใส่เครื่องประดับ นุ่งผ้าชายพกต่ำ ปล่อยชายย้อยลงมา คาดเข็มขัด ไม่สวมเสื้อ
การแต่งกายสมัยลพบุรี (ราวพุทธศตวรรษที่ 16 - 19) ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมขอมเป็นหลัก ผู้หญิงนิยมผมแสกกลางขมวดมวยแล้วปักปิ่น ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าซ้อนชาย ปล่อยชายออกสองข้างเป็นชายไหว คาดเข็มขัด ปลายเป็นพู่ห้อย ไม่สวมรองเท้า ส่วนผู้ชายนิยมเกล้าผมเหนือศีรษะ ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าถุงสูง ผ้าจะสั้นเหนือเข่า ทิ้งชายพกเป็นแผ่นใหญ่ ไม่สวมรองเท้า
การแต่งกายสมัยเชียงแสน (พ.ศ. 1661 - 1731) หญิงไทยในสมัยนี้นิยมนุ่งซิ่นถุง นิยมทอผ้าใช้เอง ผ้าทอของเชียงแสนมักจะมีลวดลายประดับประดามากมาย ผู้หญิงจึงนิยมนุ่งซิ่นทอลายขวาง สวมสไบรัดอก เกล้าผมสูงและปักปิ่นประดับผม ส่วนผู้ชายจะนิยมนุ่งผ้าแบบสั้น และมีผ้าโพกผม ซึ่งเป็นการแต่งกายของชาวไทยภาคเหนือ
การแต่งกายสมัยสุโขทัย (พ.ศ. 1781 - 1826) ในสมัยนี้ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมพราหมณ์และขอมเป็นหลัก ผู้หญิงนิยมไว้ผมเกล้าสูง เกล้ามวย มีเกี้ยวหรือพวงมาลัยสวม นุ่งผ้ายาวกรอมเท้า ไม่สวมเสื้อ สวมเครื่องประดับ ส่วนผู้ชายนิยมมุ่นผมหรือปล่อยผม นุ่งกางเกงครึ่งน่อง นุ่งผ้าถกแบบเขมร ต่อมาพัฒนาเป็นนุ่งสั้นและทิ้งหางเหน็บ สวมเสื้อคอกลมหรือไม่สวม
การแต่งกายสมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893 - 2131) ในสมัยนี้มีพัฒนาการของการแต่งกายอย่างเห็นได้ชัด จนกลายเป็นแบบสวมเสื้อ โดยผู้หญิงจะสวมเสื้อคอกลมแขนยาว มีผ้าคล้องคอปล่อยชายไปด้านหลัง นุ่งโจงกระเบนหรือนุ่งซิ่นยาวจับจีบด้านหน้า ผมเกล้ามวย มีการผัดหน้า ทาตัว ย้อมฟันดำ ย้อมเล็บ ส่วนผู้ชายไว้ผมทรงมหาดไทย สวมเสื้อคอกลมแขนยาวเกือบถึงศอก มีผ้าคล้องคอปล่อยชายไปด้านหลัง นุ่งโจงกระเบน
การแต่งกายสมัยธนบุรี ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีนเป็นส่วนใหญ่ ผู้ชายนิยมนุ่งกางเกงแบบจีน ไว้ผมทัด เสยผม ส่วนผู้หญิงนิยมนุ่งผ้าถุง ห่มผ้าแพรจีนรัดอก
การแต่งกายสมัยรัตนโกสินทร์ ในช่วงต้นยังคงแต่งกายตามแบบอยุธยา ผู้ชายไว้ผมทรงมหาดไทย สวมเสื้อ นุ่งผ้าโจงจีบ ส่วนผู้หญิงก็ยังนุ่งผ้าโจง สวมเสื้อ ห่มสไบ ต่อมาเมื่อเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 5 การแต่งกายของไทยจึงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เป็นการรับวัฒนธรรมจากชาติตะวันตก ชนชั้นสูงนิยมแต่งกายสวยงามด้วยผ้าลูกไม้ตามอย่างตะวันตก ส่วนสามัญชนยังคงแต่งกายธรรมดาแบบนุ่งโจงสวมเสื้อ
วัฒนธรรมการแต่งกายของไทยได้เปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ และมีความหลากหลายมากขึ้น จนในปัจจุบันได้กลายมาเป็นชุดไทยพระราชนิยม ซึ่งมีด้วยกัน 9 แบบ คือ ชุดไทยเรือนต้น ชุดไทยจิตรลดา ชุดไทยอมรินทร์ ชุดไทยบรมพิมาน ชุดไทยจักรี ชุดไทยดุสิต ชุดไทยจักรพรรดิ ชุดไทยศิวาลัย และชุดไทยประยุกต์ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นวิวัฒนาการการแต่งกายของไทย