ศิลปะไทยทุกรูปแบบมักจะได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในสังคมเข้าไปผสมผสานอยู่ด้วย มีการสอดแทรกวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เชื่อมโยงกับความคิดจินตนาการของศิลปิน และมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นหลัก ผลงานศิลปะไทยส่วนใหญ่จึงสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อส่งเสริมพุทธศาสนา
จิตรกรรมไทยเป็นศิลปะไทยรูปแบบหนึ่งที่มีกระบวนงานกำหนดไว้อย่างชัดเจน เป็นวิธีการที่ช่างไทยปฏิบัติสืบต่อกันมา คือ มักจะเขียนสีแบน ไม่คำนึงถึงแสงเงา ตัดเส้นชัดเจน ใช้เส้นเคลื่อนไหวนุ่มนวล นิยมเขียนรูปคนแบบตัวพระตัวนางในละคร มีลีลาท่าทางเหมือนกันแต่จะต่างกันที่สีผิวและเครื่องประดับ นิยมเขียนภาพแบบตานกมอง คือมองจากมุมสูงลงมา จึงทำให้มองเห็นเรื่องราวได้ตลอดภาพ ภาพแต่ละตอนจะเขียนติดต่อกัน โดยใช้โขดหิน ต้นไม้ กำแพงเมือง หรือเส้นสินเทาเป็นตัวแบ่งตอนของภาพ และมักจะมีการประดับตกแต่งด้วยลวดลายไทยสีทอง เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่มีคุณค่ามากขึ้น
ลายไทย เป็นลวดลายที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ นำธรรมชาติมาดัดแปลงให้เกิดเป็นลวดลายใหม่อย่างสวยงาม เช่น ตาอ้อย ก้ามปู เปลวไฟ รวงข้าว และดอกบัว เป็นต้น ลายไทยมักจะถูกเรียกว่า "กระหนก" หรือ "กนก" เช่น กนกก้านขด กนกเปลว กนกปิดทอง ฯลฯ การเขียนลายไทยตามแบบแม่บทจะแบ่งออกเป็น 4 หมวดด้วยกัน คือ
1. กนก คือการเขียนภาพดงป่าดงไม้ มีแบบฟอร์มเป็นเปลวไฟรูปสามเหลี่ยม เขียนด้วยเส้นที่ผูกรวมกันเป็นลวดลาย เช่น กนกสามตัว กนกใบเทศ กนกเปลว เป็นต้น ลายกนกถือว่าเป็นพื้นฐานของลวดลายไทยทุกแบบ
2. นารี คือการเขียนภาพใบหน้ามนุษย์ เทวดา นางฟ้า ตัวพระ ตัวนาง ทั้งแบบหน้าตรงและหันข้างเพื่อแสดงอารมณ์และกิริยาของตัวละครในภาพ รวมไปถึงอิริยาบถท่าทางต่างๆ ทั้งหมดจะต้องแสดงออกอย่างชัดเจนและงดงาม
3. กระบี่ คือการเขียนภาพอมนุษย์ต่างๆ เช่น พวกยักษ์ วานร เป็นต้น
4. คชะ คือการเขียนภาพสัตว์สามัญและสัตว์ประดิษฐ์ต่างๆ เช่น ช้าง ม้า วัว นก ฯลฯ ซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่บนโลกมนุษย์ รวมไปถึงกินรี ราชสิงห์ ฯลฯ ซึ่งเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ เป็นต้น
โดยรวมแล้วลายไทยจัดเป็นส่วนประกอบสำคัญของจิตรกรรมไทยและศิลปะไทยทุกแขนง นอกจากจะอยู่ในงานจิตรกรรมแล้วยังใช้เป็นลวดลายตกแต่งอาคาร สิ่งของ เครื่องใช้ เครื่องประดับต่างๆ และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ศิลปะไทยมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอย่างชัดเจน