ในช่วงที่ประเทศเกิดภาวะภัยแล้ง ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดคงไม่พ้นเกษตรกรทั้งหลาย ยิ่งประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรมด้วยแล้ว การเกิดภัยแล้งจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราไปโดยปริยาย แต่ถือเป็นโชคดีของเราที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงปัญหานี้ และทรงแก้ปัญหาโดยการจัดตั้ง "โครงการฝนหลวง" ขึ้นมา หลายคนคงรู้จักหรือเคยได้ยินได้เห็นมาบ้างแล้ว แต่รู้หรือไม่คะว่า "ฝนหลวง" นั้นทำอย่างไร วันนี้เรานำความรู้เรื่องการทำฝนหลวงมาฝากค่ะ
"โครงการฝนหลวง" เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อสร้าง "ฝนเทียมหรือฝนหลวง" สำหรับบรรเทาปัญหาความแห้งแล้ง ขาดน้ำในการทำเกษตรกรรม เนื่องจากฝนธรรมชาติไม่ตกต้องตามฤดูกาล โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ประสบปัญหานี้อย่างหนัก พระองค์ท่านจึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานโครงการในพระราชดำริ "ฝนหลวง (Artificial rain)" ให้หน่วยงานรัฐไปดำเนินการ โดยในตอนแรกเป็นเพียงโครงการทดลองแต่ประสบผลสำเร็จอย่างมาก จึงได้มีการก่อตั้งสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวงขึ้นในปี พ.ศ. 2518 เป็นหน่วยงานรองรับโครงการฝนหลวง ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การทำฝนหลวงเป็นกรรมวิธีการเหนี่ยวนำน้ำจากฟ้า ใช้เครื่องบินบรรจุสารเคมีขึ้นไปโปรยบนท้องฟ้า โดยดูจากความชื้นของเมฆและสภาพทิศทางลมประกอบกัน ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนคือความร้อนชื้นที่ปะทะกับความเย็น และมีแกนกลั่นตัวที่มีประสิทธิภาพในปริมาณที่เหมาะสม กล่าวคือ เมื่อมวลอากาศร้อนชื้นจากระดับพื้นผิวขึ้นสู่อากาศเบื้องบน อุณหภูมิของมวลอากาศจะลดต่ำลง หากอุณหภูมิต่ำมากพอก็จะทำให้ไอน้ำในมวลอากาศอิ่มตัว จะเกิดกระบวนการกลั่นตัวของไอน้ำ แล้วเกิดเป็นฝนตกลงมา ดังนั้นสารเคมีที่ใช้จึงประกอบด้วย "สูตรร้อน" ที่ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของบรรยากาศ "สูตรเย็น" ที่ช่วยกระตุ้นการรวมตัวของละอองเมฆหรือไอน้ำให้โตขึ้นเป็นเม็ดฝน รวมทั้ง "สูตรที่ใช้เป็นแกนดูดซับความชื้น" เพื่อกระตุ้นให้กลไกการกลั่นตัวมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
สำหรับขั้นตอนการทำฝนหลวง มีทั้งหมด 3 ขั้นตอนด้วยกัน ดังนี้
ขั้นที่หนึ่ง "ก่อกวน" เป็นการโปรยสารเคมีเพื่อดูดซับไอน้ำจากมวลอากาศ เพิ่มความชื้นของมวลเมฆ สร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเมฆ ทำให้เมฆเกิดการรวมกันเป็นกลุ่มเมฆฝน
ขั้นที่สอง "เลี้ยงให้อ้วน" เป็นขั้นตอนการเลี้ยงเมฆให้ก่อตัวเจริญเติบโตมากขึ้น ถือเป็นระยะสำคัญมากในการปฏิบัติการ ต้องใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์การทำฝนควบคู่กันไป เพื่อตัดสินใจว่าจะโปรยสารเคมีชนิดใด ณ ที่ใดของกลุ่มก้อนเมฆในอัตราเท่าใดจึงจะเหมาะสม
ขั้นที่สาม "โจมตี" เมื่อกลุ่มเมฆมีความหนาแน่นมากพอที่จะตกเป็นฝนได้แล้ว ก็จะทำการชักนำและบังคับกลุ่มเมฆฝนให้เคลื่อนไปยังพื้นที่ที่ต้องการ โดยใช้เครื่องบินโปรยสารเคมีดูดความร้อน
สรุปแล้วการทำฝนหลวงก็คือกระบวนการเร่งให้ฝนตกตามธรรมชาติมากขึ้น ดังนั้นน้ำฝนจากการทำฝนหลวงจึงสามารถนำไปใช้ได้ตามปกติค่ะ ทั้งในการเกษตร อุปโภคบริโภค ไม่ต่างจากฝนธรรมชาติเลยค่ะ