หากมองย้อนกลับไปในอดีต ในยุคที่มีมนุษย์โบราณหรือคนป่าต่าง ๆ ถึงแม้จะยังไม่ได้มีอารยธรรมอะไรมากมาย แต่มนุษย์เหล่านั้นก็มีเสียงเพลงและเครื่องกำเนิดเสียงหรือเครื่องดนตรีเช่นกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เกิดจากการเคาะไม้ หรือเคาะวัตถุต่าง ๆ รวมไปถึงเสียงที่เกิดจากการเป่าใบไม้ เป่าเขาสัตว์ หรือประยุกต์ใช้สิ่งของต่าง ๆ มาเป็นเครื่องดนตรีในสมัยนั้น
นี่คือหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าเครื่องดนตรีนั้นมีมานานแล้ว และในแต่ละประเทศก็จะมีเครื่องดนตรีของประเทศตัวเอง เพื่อใช้ในการบรรเลงเป็นเสียงเพลงต่าง ๆ ตามความชอบของประเทศนั้น และแน่นอนว่าประเทศไทยก็เช่นกันค่ะ เราก็มีเครื่องดนตรีของไทยเราเองเหมือนกัน
เครื่องดนตรีไทยถูกนำมาใช้ในงานพิธี รวมทั้งงานประเพณีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่อดีตแล้ว เราอาจจะยังไม่เคยสังเกตกันนะคะ แต่หากลองสังเกตก็จะเห็นว่าเรามีเครื่องดนตรีและเสียงเพลงอยู่ในวิถีชีวิตมาตลอดค่ะ อย่างเช่นในงานบุญต่าง ๆ ก่อนที่พระสงฆ์จะสวดมนต์ ก็มักจะมีเสียงดนตรีจากวงปี่พาทย์โหมโรงก่อนเสมอ มีเสียงตีกลองให้จังหวะในงานประเพณีต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งในงานศพก็ยังต้องมีเสียงปี่พาทย์บรรเลงเพลงกราวใน และเพลงเชิดประกอบอยู่ด้วยทุกครั้ง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่นะคะ
เครื่องดนตรีไทยเรามีครบทั้ง 4 ประเภทค่ะ คือ ดีด สี ตี เป่า และในแต่ละประเภทก็แบ่งออกเป็นเครื่องดนตรีหลายชนิดที่ทำให้เกิดเสียงแตกต่างกัน อย่างเครื่องดีดเราก็มีกระจับปี่ จะเข้ พิณ ซึ่งทำให้เกิดเสียงได้โดยการใช้ไม้หรือนิ้วมือดีดกับสายเสียงของเครื่อง เครื่องสี ได้แก่ ซอสามสาย ซออู้ ซอด้วง ซึ่งต้องใช้เส้นหางม้าหลาย ๆ เส้นสีไปบนสายเพื่อให้เกิดเสียง เครื่องตี เช่น ระนาด กลอง ฆ้อง โทน รำมะนา ตะโพน ที่ต้องใช้ไม้ตี หรือตีด้วยมือ หรือใช้สองส่วนตีกระทบกันเอง เช่น กรับ ฉาบ ฉิ่ง สุดท้ายคือเครื่องเป่า ได้แก่ ปี่ และขลุ่ย ซึ่งต้องใช้ลมปากเป่าให้เกิดเสียงค่ะ
และนอกจากนี้เครื่องดนตรีไทยยังถูกนำไปใช้ตามหน้าที่ต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นเครื่องเดินทำนอง หรือใช้เป็นเครื่องทำจังหวะในการร่ายรำต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตามการบรรเลงเป็นวงดนตรีก็จะต้องรวมเครื่องดนตรีหลายชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดเป็นเพลงไพเราะตามเอกลักษณ์ไทยค่ะ