องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) และสมาคมต่อต้านมะเร็งสากล (International Union Against Cancer: UICC) ได้กำหนดให้วันที่ 4 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็น "วันมะเร็งโลก" (World Cancer Day) เพื่อให้คนทั่วโลกตระหนักถึงภัยร้ายจากโรคมะเร็ง หลังจากพบว่ามะเร็งคือโรคร้ายที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันหลายสิบปี ซึ่งทั่วโลกมีรายงานการเสียชีวิตปีละเกือบ 8 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยคาดว่าอีก 21 ปีข้างหน้าจะมีผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นปีละ 24 ล้านคน
สำหรับประเทศไทยนั้น พบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงเป็นอันดับหนึ่งต่อเนื่องมานานกว่า 13 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา โดยข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณะสุขพบว่า คนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งรุนแรงมากขึ้น และมีคนไทยเสียชีวิตกว่า 60,000 คนต่อปี
โดยมะเร็งที่ผู้ชายป่วยมากที่สุด ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเม็ดเลือดขาว ส่วนในผู้หญิง ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งทวารหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งทวารหนักมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากการใช้ชีวิตแบบคนเมือง ซึ่งนิยมกินเนื้อสัตว์ กินผักผลไม้น้อยและออกกำลังกายน้อยเกินไป
เนื่องจากเซลล์มะเร็งใช้เวลาก่อตัวนานและไม่แสดงอาการใด ๆ ให้รู้ ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งที่มาพบแพทย์ประมาณร้อยละ 70-80 อยู่ในระยะเซลล์ลุกลามไปที่อวัยวะอื่นแล้ว โอกาสหายจึงมีน้อยมาก ทำให้สถิติการเสียชีวิตติดอันดับหนึ่ง ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าโรคมะเร็งเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ความจริงคือโรคมะเร็งสามารถป้องกันและรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นการได้รับความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง การหลีกเลี่ยงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค และการตรวจคัดกรองเบื้องต้นอย่างต่อเนื่องนั้นถือเป็นแนวทางที่สำคัญในการป้องกันโรคมะเร็งได้
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน ซึ่งลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งได้ถึงร้อยละ 40 เช่น
• งดการสูบบุหรี่และดื่มเหล้า
• ลดบริโภคเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดง
• บริโภคผักผลไม้มากขึ้น
• ออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนัก
• ดูแลสุขภาพไม่ให้มีโรคติดเชื้อเรื้อรัง
• ผู้สูงอายุหรือผู้มีปัจจัยเสี่ยงควรตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อการคัดกรองมะเร็งระยะแรก
......รู้ทันโรคภัย ใส่ใจสุขภาพตัวเอง ถ้าไม่อยากให้มะเร็งถามหา......