เศรษฐกิจพอเพียงที่คนไทยทุกคนคุ้นเคยกันดี เป็นหลักปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเพื่อชี้แนวทางการดำรงอยู่ และการปฏิบัติตนของชาวไทยทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ มีใจความสำคัญในการพัฒนาประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง และพัฒนาเศรษฐกิจให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์
ความพอเพียงในที่นี้ หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และความมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ซึ่งความพอประมาณก็คือความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ส่วนความมีเหตุผลหมายถึงการตัดสินใจอย่างรอบคอบ พิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และความมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีคือการเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าใจถึงสภาพสังคมไทย พระองค์จึงพระราชทานแนวพระราชดำริในการปฏิบัติตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงดังนี้
1. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวิต
2. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต
3. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรง
4. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาหนทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้น จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ
5. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่ว ประพฤติตนตามหลักศาสนา
ทั้งหมดนี้คือแนวทางปฏิบัติตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งถ้าหากว่าเราทำได้ เราก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างพอดีในแบบของตัวเราเองค่ะ และยังสามารถนำไปปรับใช้ได้ในทุกๆ เรื่องอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในแนวทางนี้ก็คือการทำเกษตรทฤษฎีใหม่นั่นเองค่ะ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอีกหนึ่งอย่างที่ในหลวงทรงมีต่อประชาชนของพระองค์นะคะ