พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์หรือปางปาลิไลยก์ เป็นพระพุทธรูปประจำวันพุธกลางคืน อยู่ในพระอิริยาบถประทับนั่งบนก้อนศิลา พระบาททั้งสองวางอยู่บนดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายวางคว่ำบนพระชานุ พระหัตถ์ขวาวางหงายบนพระชานุ มีช้างหมอบใช้งวงจับกระบอกน้ำอยู่ด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งมีลิงถือรวงผึ้งถวาย
พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ที่มีขนาดใหญ่จะหาดูได้ยากมากกว่าขนาดเล็ก แต่ก็มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ในวัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพระพุทธรูปที่งดงามมากองค์หนึ่ง สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา มีพระนามว่า "หลวงพ่อโต" แห่งวัดป่าเลไลยก์
พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์เกิดขึ้นมาจากพุทธประวัติตอนหนึ่งของพระพุทธเจ้า โดยเป็นตอนที่พระพุทธเจ้าเห็นพระภิกษุในวัดโฆสิตาราม กรุงโกสัมพี ทะเลาะวิวาทกัน พระองค์จึงเสด็จไปจำพรรษาในป่าแทน ซึ่งในป่านั้นมีพญาช้างปาลิไลยกะคอยปรนนิบัติดูแลพระพุทธองค์เป็นอย่างดี เมื่อพญาวานรเห็นเข้าก็นำรวงผึ้งไปถวายบ้าง แต่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าไม่รับเพราะในรวงผึ้งยังมีตัวอ่อนอยู่ เมื่อพญาวานรรู้ดังนั้นจึงนำตัวอ่อนออกจากรวงผึ้งแล้วนำไปถวายพระพุทธเจ้าอีกครั้ง พระพุทธเจ้าจึงยอมรับรวงผึ้งที่นำมาถวาย ทำให้พญาวานรดีใจกระโดดโลดโผนไปตามกิ่งไม้จนตกจากต้นไม้ลงมาทิ่มตอไม้แหลมตาย แต่บุญกุศลที่ทำไว้ ทำให้ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์
ครั้นเมื่อถึงวันออกพรรษา พระพุทธองค์จึงเสด็จกลับพระเชตวันมหาวิหาร และขณะที่กำลังจะออกจากป่า พญาช้างได้เดินตามพระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ทรงห้ามและตรัสให้กลับไปอยู่ในป่าเหมือนเดิม พญาช้างเสียใจมากจนล้มลงขาดใจตาย แต่ผลบุญที่ทำไว้ก็ทำให้ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์เช่นเดียวกับพญาวานร และเมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับมายังพระเชตวันมหาวิหาร บรรดาพระภิกษุจากวัดโฆสิตารามจึงรีบเดินทางมาเข้าเฝ้าเพื่อแสดงความสำนึกผิด
เหตุการณ์ในพุทธประวัติครั้งนั้นทำให้พุทธศาสนิกชนสร้างพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ขึ้น เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจถึงผลเสียของการแตกความสามัคคี และเป็นอนุสรณ์ความดีของพญาช้างและพญาลิงที่มีต่อพระพุทธเจ้า