โรคที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนมักจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดจากการกินอาหาร น้ำดื่มที่ไม่สะอาด และอาหารเสียง่าย เพราะอากาศที่ร้อนในช่วงฤดูร้อนนั้นเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆ จึงควรระมัดระวังความสะอาดของอาหารและน้ำดื่มเป็นพิเศษ โดยการกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ใช้ช้อนกลาง ล้างมือทุกครั้งทั้งก่อนและหลังกินอาหาร รวมถึงหลังใช้ห้องน้ำห้องส้วม ซึ่งฤดูร้อนนี้ มีโรคที่ต้องระมัดระวังดังนี้
โรคอุจจาระร่วง (Diarrhea)
เกิดจากการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และหนอนพยาธิ เช่น เชื้อแบคทีเรียวิบริโอพารา เฮโมลัยติคัส (Vibrio Parahemolyticus) เชื้อไวรัสโรต้าไวรัส (Rotavirus) เชื้อปาราสิตอมีบา (Amoeba) และหนอนพยาธิลำไส้ (Helminths) ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่บูดเสียได้ง่ายในอากาศที่ร้อนจัด ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยจะถ่ายอุจจาระเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายเป็นน้ำหรือเป็นมูกปนเลือด ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องรวดเร็วร่างกายจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ หากอาการไม่รุนแรงก็สามารถให้การรักษาเบื้องต้นได้เองด้วยผงเกลือแร่ผสมน้ำดื่ม แต่ถ้าเกิดอาการรุนแรงอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะช็อก หมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้
โรคอาหารเป็นพิษ (Food Poisoning)
มักเกิดขึ้นในเวลารวดเร็วหลังจากทานอาหาร ซึ่งพบได้มากในช่วงหน้าร้อน สาเหตุสำคัญเกิดจากการทานอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต ที่พบบ่อย คือ เชื้อบิดชิเกลลา (Shigella) เชื้อสแตปฟีโลคอกคัส (Staphylococcus) และเชื้อบาซิลลัส ซีเรียส (Bacillus Cereus) ซึ่งเป็นเชื้อที่ทนต่อความร้อน รวมถึงการการปนเปื้อนสารพิษ ที่พบบ่อย คือ จากเห็ดพิษ สารพิษปนเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู เชื้อเหล่านี้พบในอาหารประเภทไส้กรอก กุนเชียง อาหารทะเล ข้าวผัดต่าง ๆ ถึงแม้จะกินอาหารที่สุกร้อนแล้ว แต่หากส่วนผสมก่อนนำมาปรุงอาหารเกิดบูดเสีย ก็จะเกิดอาการเป็นพิษได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน บางรายอาจมีถ่ายเหลวเป็นน้ำ มักไม่มีไข้ และหายได้เอง แต่ถ้าเป็นมากต้องได้รับน้ำเกลือเสริม อาจดื่มหรือให้ทางเส้นเลือดแล้วแต่ความรุนแรง
โรคบิด (Dysentery)
เป็นโรคติดต่อที่พบได้ทุกที่ โดยเฉพาะชุมชนที่ยากจน การสุขาภิบาลไม่ดี เกิดจากสาเหตุใหญ่ ๆ ได้ 2 ประการ คือ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ เชื้อชิเกลลา (Shigella Dysenteriae) ทำให้เกิดโรคบิดไม่มีตัว และเกิดจากเชื้อโปรโตซัว ได้แก่ เชื้ออมีบา (Entamoeba Histolytica) ทำให้เกิดโรคบิดมีตัว เป็นโรคติดต่อได้โดยการดื่มน้ำหรือกินอาหารที่มีเชื้อบิดเข้าสู่ร่างกายแล้วก่อให้เกิดอาการ โดยโรคบิดไม่มีตัวจะมีระยะฟักตัวประมาณ 1-7 วัน ส่วนโรคบิดมีตัวจะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-4 สัปดาห์ เมื่อเชื้อเข้าสู่กระเพาะอาหาร จะผ่านเข้าสู่ลำไส้ แล้วก่อให้เกิดการอักเสบของผนังลำไส้โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ ทำให้ผนังลำไส้บวมอักเสบ เกิดแผล ดูดซึมอาหารและน้ำได้น้อย ผู้ป่วยจึงมีอาการถ่ายเป็นมูกปนเลือด ร่วมกับอาการปวดเบ่งที่ทวารหนัก คล้ายถ่ายไม่สุด ในรายที่เป็นโรคบิดไม่มีตัวจะมีอาการไข้สูงอย่างรวดเร็ว และปวดศีรษะมาก ส่วนรายที่เป็นโรคบิดมีตัว อุจจาระจะมีกลิ่นเหม็นคาวเหม็นเน่า และเชื้ออาจเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้เกิดอาการอักเสบที่ตับ ปอด หรือสมองได้
โรคไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย (Typhoid Fever)
เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดจากเชื้อซาลโมเนลลาไทฟี (Salmonella typhi) ซึ่งเป็นเชื้อที่พบเฉพาะในคน การติดต่อจึงเกิดจากคนสู่คนเท่านั้น โดยผู้ที่ป่วยจะขับเชื้อออกทางอุจจาระเป็นหลัก การติดต่อจึงเกิดจากการขับถ่ายที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ การใช้แหล่งน้ำบริโภคที่มีเชื้อ รวมทั้งการกิน กุ้ง หอย ปู ปลาด้วย เนื่องจากสัตว์เหล่านี้อาจกินสิ่งปฏิกูล ของเสียต่าง ๆ ที่คนเททิ้งลงสู่แหล่งน้ำ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้และปวดท้องเป็นหลัก โดยในแต่ละวันไข้จะขึ้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ อาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมได้ เช่น หนาวสั่น เหงื่อออก ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย มึนศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ไอ ปวดท้อง ไอแห้ง ๆ ตามตัวมีผื่นสีแดง พบได้ในเด็กก่อนวัยเรียนและเด็กวัยเรียน ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์เมื่อมีไข้ติดต่อกันเกิน 1 สัปดาห์ โดยที่อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
อหิวาตกโรค (Cholera)
เป็นโรคติดต่อรวดเร็ว รุนแรง และก่อการระบาดได้อย่างรวดเร็ว เกิดจากการได้รับเชื้อแบคทีเรีย วิบริโอ โคเลอรี (Vibrio cho lerae) เข้าสู่ร่างกายโดยการทานอาหารหรือน้ำที่มีเชื้ออหิวาตกโรคปนเปื้อนอยู่ เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ และอาจพบเชื้ออหิวาตกโรคได้ในอาหารทะเล โดยเชื้อโรคจะสร้างพิษออกมาทำปฏิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็ก ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบของลำไส้เล็ก และส่งผลให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำสีซาวข้าว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้
ท่ามกลางอากาศร้อน ๆ นี้ เราควรใส่ใจกับอาหารการกินเป็นพิเศษ โดยเน้นความสด ใหม่ สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารที่สงสัยว่าบูดหรือเสีย รวมถึงควรงดเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ เพราะยิ่งอากาศร้อนมาก ร่างกายจะดูดซึมผ่านแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็วขึ้น จนอาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูงขึ้น ปัสสาวะบ่อยจนเกิดอาการขาดน้ำ และน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำได้ นอกจากนี้ควรหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ไม่ควรหักโหมจนเกินไป และพักผ่อนให้เพียงพอ