บุคคลสำคัญคนหนึ่งที่หลายคนรู้จักกันในนาม "พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย" ผู้มีความสำคัญต่อวงการประวัติศาสตร์ในประเทศไทย พระองค์มีพระนามจริงว่า "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า "สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" นั่นเอง
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประสูติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 57 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม และทรงเป็นต้นราชสกุล "ดิศกุล" ชาววังโดยทั่วไปจะเรียกพระองค์ว่า "เสด็จพระองค์ดิศ" โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาจากนามของพระอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ) ซึ่งเป็นบิดาของเจ้าจอมมารดาชุ่ม เนื่องจากทรงพระราชดำริว่าท่านเป็นคนซื่อตรงจึงได้นำมาตั้งพระราชทานแก่พระราชโอรสด้วย
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเริ่มเรียนหนังสือไทยชั้นต้นจากสำนักคุณแสงและคุณปาน ราชนิกุล ในพระบรมมหาราชวัง ทรงศึกษาภาษาอังกฤษในโรงเรียนหลวงกับอาจารย์ชาวต่างชาติ จากนั้นเมื่อมีพระชนม์ได้ 13 พรรษา ทรงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และไปประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมาเมื่อพระชนมายุ 15 พรรษาก็ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก และได้รับพระราชทานยศเป็นนายร้อยตรีทหารมหาดเล็ก บังคับกองแตรวง
จากนั้นพระองค์ก็ทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งในด้านการเมืองการปกครองและด้านสังคมวัฒนธรรม โดยพระราชกรณียกิจสำคัญด้านการเมืองการปกครองของพระองค์ คือ ทรงเป็นเสนาบดีคนแรกของกระทรวงมหาดไทย ทรงจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล และทรงฝึกหัดการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน เพื่อปูพื้นฐานการปกครองแบบประชาธิปไตย
ส่วนพระราชกรณียกิจสำคัญทางด้านสังคมและวัฒนธรรมของพระองค์ คือ ทรงริเริ่มการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ หอจดหมายเหตุ หอรูป ทรงว่าการหอพระสมุดสำหรับพระนคร ทรงริเริ่มพิมพ์หนังสือ ทรงจัดตั้งสมาคมวรรณคดีและราชบัณฑิตยสภา ทรงส่งเสริมการค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับไทย ทรงค้นคว้าทางพงศาวดารและโบราณคดี รวมทั้งทรงมีงานประพันธ์ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นจำนวนมาก เช่น ไทยรบพม่า พระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 5 และลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ เป็นต้น
ซึ่งงานประพันธ์เหล่านี้จัดเป็นหลักฐานที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ จนทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 และได้รับการถวายพระนามเป็น "พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย"